Employee Advocacy as Ad Spend การเปลี่ยนพนักงานให้เป็นกระบอกเสียงโฆษณาที่น่าเชื่อถือที่สุด และวัดผลได้อย่างไร
1 min read

Employee Advocacy as Ad Spend การเปลี่ยนพนักงานให้เป็นกระบอกเสียงโฆษณาที่น่าเชื่อถือที่สุด และวัดผลได้อย่างไร

ผู้บริโภคเชื่อคำแนะนำจากคนรู้จักมากกว่าโฆษณาของแบรนด์โดยตรง กลยุทธ์ Employee Advocacy หรือการเปลี่ยนพนักงานให้เป็น “กระบอกเสียง” ของแบรนด์ จึงกลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กลยุทธ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสร้างความผูกพันภายในองค์กรเท่านั้น แต่คือการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของพนักงานในฐานะ “งบประมาณโฆษณาที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือที่สุด”

การลงทุนใน Employee Advocacy จึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน (ROI} ที่สูงกว่าโฆษณาแบบเสียเงิน (Paid Ads) อย่างชัดเจน เนื่องจากเนื้อหาที่แชร์ผ่านพนักงานจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ไกลขึ้นถึง 561% และมีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่าถึง 8 เท่า

  1. พนักงาน กระบอกเสียงที่น่าเชื่อถือที่สุด

ความน่าเชื่อถือที่พนักงานมอบให้แบรนด์นั้นเหนือกว่า Influencer หรือโฆษณาใด ๆ เพราะ

  • ความจริงใจ (Authenticity) เนื้อหาที่พนักงานแชร์มักมีโทนเสียงเป็นส่วนตัว, จริงใจ, และไม่ดูเหมือนการขาย ทำให้ผู้ติดตามรู้สึกเชื่อถือมากกว่าเนื้อหาจากบัญชีบริษัท
  • การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ (Organic Reach) พนักงานแต่ละคนมีเครือข่ายและกลุ่มความสนใจที่แตกต่างกัน การแชร์เนื้อหาของบริษัทผ่านพนักงานจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche Audience) ที่แบรนด์อาจไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วย Paid Ads ทั่วไป
  • การดึงดูดบุคลากร (Talent Acquisition) การที่พนักงานแชร์เรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรและโอกาสในการทำงาน ถือเป็นการตลาดแบรนด์นายจ้าง (Employer Branding} ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งช่วยดึงดูดคนเก่งเข้ามาในองค์กรได้โดยตรง
  1. วิธีการเปลี่ยนพนักงานให้เป็นผู้สนับสนุน

การสร้าง Employee Advocacy Program ที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากความจริงใจและการสนับสนุนจากผู้บริหาร

 2.1 สื่อสารทำไมให้ชัดเจน

ผู้บริหารต้องสื่อสารอย่างชัดเจนว่าการมีส่วนร่วมของพนักงานมีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจอย่างไร และมันจะส่งผลดีต่อตัวพนักงานเองอย่างไร (เช่น การสร้าง Professional Network, การเป็นผู้นำทางความคิด – Thought Leader

 2.2 ทำให้การแชร์เป็นเรื่องง่าย

  • สร้าง Content Library จัดเตรียมคลังเนื้อหาที่น่าสนใจและพร้อมแชร์สำหรับพนักงาน (เช่น บทความ, อินโฟกราฟิก, วิดีโอสั้น) โดยมีแคปชั่นตัวอย่างและแฮชแท็กที่เหมาะสม
  • ใช้เครื่องมือ Advocacy Platform พิจารณาใช้เครื่องมือเฉพาะทางที่ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงและแชร์เนื้อหาได้อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่คลิก

2.3 สร้างแรงจูงใจและให้รางวัล

  • ไม่ใช่การบังคับ โปรแกรมต้องเป็นไปตามความสมัครใจ แต่ควรมีระบบการให้รางวัลที่ชัดเจน เช่น การให้คะแนนสะสม, ของขวัญพิเศษ, หรือการยกย่องพนักงานที่แชร์เนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  1. การวัดผล ROI เปลี่ยนการแชร์เป็นมูลค่าโฆษณา

หัวใจสำคัญของการมอง Employee Advocacy เป็น Ad Spend คือการวัดผลที่สามารถแปลงออกมาเป็นมูลค่าทางการเงินได้ (Earned Media Value – EMV}

KPI ที่ต้องวัดคำอธิบายและการวัดผลมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับ
Participation Rateจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมและแชร์เนื้อหา (Active Users)สะท้อนถึง Employee Engagement และความรักในองค์กร
Earned Media Value (EMV}มูลค่าเงินที่ต้องใช้โฆษณาแบบเสียเงิน (Paid Ads) เพื่อให้ได้ Reach หรือ Impression เท่ากันวัด ROI โดยตรง EMV มักสูงกว่าค่าใช้จ่ายของโปรแกรมถึง 10 เท่า
Click-Through Rate (CTR}อัตราการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์จากโพสต์ของพนักงานสะท้อน คุณภาพ ของ Content และ ความน่าเชื่อถือ ของผู้แชร์
Conversion Rate & Lead Qualityเปอร์เซ็นต์ของคนที่คลิกแล้วลงชื่อสมัคร/ซื้อสินค้า Leads ที่มาจากพนักงานมักมีอัตรา Conversion สูงกว่า 7 เท่าวัดผลต่อ ยอดขายและคุณภาพลูกค้า โดยตรง

 

Employee Advocacy คือการเปลี่ยนความรักและความภูมิใจของพนักงานให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุด การลงทุนในโปรแกรมนี้จึงไม่ใช่แค่การดูแลพนักงาน แต่เป็นการลงทุนในช่องทางโฆษณาที่มอบ ความน่าเชื่อถือ และ ROI ที่โฆษณาทั่วไปไม่สามารถทำได้ แบรนด์ที่ชนะในยุคนี้คือแบรนด์ที่สร้าง “กระบอกเสียง” ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ และเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง