
ทำไมแบรนด์ควรเลิกโฟกัส Reach แล้วหันมาโฟกัส Relevance
ในช่วงแรกของการตลาดออนไลน์ ตัวเลขอย่าง Reach หรือจำนวนคนเห็นเคยเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญ แบรนด์จำนวนมากแข่งขันกันว่าใครเข้าถึงคนได้มากกว่า ใครโพสต์แล้วมีคนเห็นเยอะกว่า แต่เมื่อแพลตฟอร์มเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และต้นทุนโฆษณาสูงขึ้น ความจริงเริ่มชัดเจนขึ้นว่า Reach สูง ไม่ได้แปลว่าขายได้ การตลาดที่ได้ผลในวันนี้ ไม่ใช่การเข้าถึงคนจำนวนมากที่สุด แต่คือการเข้าถึง “คนที่ใช่” ด้วยข้อความที่ “ตรงที่สุด” ซึ่งก็คือการโฟกัสที่ Relevance มากกว่า Reach
Reach บอกแค่จำนวน แต่ไม่บอกคุณภาพ Reach คือจำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์ แต่ไม่ได้บอกว่าคนเหล่านั้นสนใจ เข้าใจ หรือรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือไม่ แบรนด์จำนวนมากมี Reach สูง แต่แทบไม่มีการตอบสนอง เพราะเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการจริงของผู้ชม เมื่อ Reach ไม่มาพร้อม Relevance ตัวเลขจะดูดี แต่ไม่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย ความเชื่อใจ หรือความภักดีต่อแบรนด์
Relevance ทำให้แบรนด์ “ถูกรู้สึกว่าใช่” ตั้งแต่ครั้งแรก
คอนเทนต์ที่ Relevant จะทำให้ผู้ชมรู้สึกทันทีว่า “นี่คือเรื่องของฉัน” แม้จะเข้าถึงคนจำนวนน้อยกว่า แต่คนกลุ่มนั้นมีแนวโน้มฟัง อ่าน และจดจำมากกว่า ความรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจปัญหา ความต้องการ หรือสถานการณ์ของลูกค้า คือจุดเริ่มต้นของความเชื่อใจ ซึ่งสำคัญกว่าการเห็นผ่านตาเฉย ๆ หลายเท่า
อัลกอริทึมยุคใหม่ให้รางวัลกับความตรงมากกว่าความกว้าง แพลตฟอร์มโซเชียลในปัจจุบัน ไม่ได้ดันคอนเทนต์ที่เข้าถึงคนเยอะที่สุด แต่ดันคอนเทนต์ที่คนกลุ่มหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์ลึก เช่น อ่านจบ ดูจบ คอมเมนต์ หรือบันทึกไว้ เมื่อแบรนด์โฟกัส Relevance คอนเทนต์จะได้สัญญาณเชิงบวกจากผู้ชมจริง ทำให้อัลกอริทึมช่วยขยายต่อโดยอัตโนมัติ แม้จะเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ ก็ตาม
Relevance ช่วยลดต้นทุนการตลาดโดยตรง
การพยายามเพิ่ม Reach มักต้องแลกกับงบโฆษณาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่การโฟกัส Relevance ทำให้การตลาดแม่นยำขึ้น ใช้งบน้อยลง และได้ผลลัพธ์ดีกว่า เมื่อสื่อสารตรงกลุ่ม ลูกค้าจะตัดสินใจเร็วขึ้น ถามน้อยลง และเปรียบเทียบน้อยลง ส่งผลให้ต้นทุนต่อการขายลดลงอย่างชัดเจน
Reach สูง แต่ไม่ Relevant ทำให้แบรนด์อ่อนแรงในระยะยาว แบรนด์ที่พยายามพูดกับทุกคน มักต้องปรับข้อความให้กลาง ๆ จนไม่โดดเด่น และไม่สามารถสร้างภาพจำที่ชัดเจนได้ ลูกค้าอาจเห็นบ่อย แต่ไม่รู้สึกผูกพัน ในระยะยาว แบรนด์ลักษณะนี้จะเหนื่อย เพราะต้องทำการตลาดหนักตลอดเวลาเพื่อรักษาการมองเห็น โดยไม่เคยสะสมความเชื่อใจจริง ๆ
Relevance ทำให้ลูกค้าเลือกแบรนด์โดยไม่ต้องเร่งขาย
เมื่อแบรนด์สื่อสารตรงใจ ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์นี้เข้าใจเขาโดยไม่ต้องอธิบายมาก การตัดสินใจซื้อจะเกิดขึ้นจากความสบายใจ ไม่ใช่แรงกดดัน การตลาดที่เน้น Relevance จึงไม่จำเป็นต้องใช้คำขายแรง หรือโปรโมชันถี่ ๆ เพราะตัวข้อความและความเข้าใจที่ส่งไป ได้ทำหน้าที่ปิดการขายไปแล้วส่วนหนึ่ง
การโฟกัส Relevance คือการยอมรับว่าไม่จำเป็นต้องถูกใจทุกคน หนึ่งในเหตุผลที่แบรนด์กลัวการโฟกัส Relevance คือกลัวเข้าถึงคนน้อย แต่ความจริงคือ แบรนด์ที่พยายามถูกใจทุกคน จะไม่ชัดสำหรับใครเลย การเลือกสื่อสารให้ตรงกลุ่ม คือการกล้าเลือก และการกล้าเลือกคือรากฐานของแบรนด์ที่แข็งแรง
การตลาดที่ชนะ ไม่ใช่ดังที่สุด แต่ตรงที่สุด Reach อาจทำให้แบรนด์ดูใหญ่ในสายตาคนทั่วไป แต่ Relevance ทำให้แบรนด์มีความหมายกับคนที่ใช่ การตลาดออนไลน์ในยุคนี้ ไม่ได้แข่งกันว่าใครเข้าถึงคนได้มากกว่า แต่แข่งกันว่าใครเข้าใจคนได้ลึกกว่า เมื่อแบรนด์เลิกไล่ตาม Reach แล้วหันมาโฟกัส Relevance การตลาดจะไม่ใช่แค่การแย่งพื้นที่สายตา แต่จะกลายเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ความเชื่อใจ และยอดขายที่ยั่งยืนในระยะยาว


